เราเผลอไปให้ความสำคัญกับสิ่งรอบตัว จนลืมที่จะรับรู้ความรู้สึกในใจตัวเอง พอใจเริ่มเหนื่อยล้า ก็จะเริ่มปั่นป่วนและวิ่งไปทำสิ่งต่างๆ หยุดพักบ้างก็ดี แต่ไม่เคยรู้จักการหยุดพักและดูแลใจตัวเองอย่างจริงจัง มันเหมือนกับการวิ่งไปในทางที่ไม่รู้ว่าจะไปถึงจุดไหน ขณะที่หัวใจของเรากำลังดิ้นรนอยู่กับความวุ่นวายภายในนี้
หลายครั้งใจของเรามักจะคิดหาทางแก้ปัญหาผิดเพราะมันถูกพัดพาไปด้วยความคิดและความรู้สึกที่ไม่เป็นระเบียบจนทำให้เดินผิดทางและเลือกสิ่งที่ไม่ใช่ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างความสุขที่แท้จริงให้กับตัวเอง และไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นวันนี้เท่านั้น แต่เป็นความเหนื่อยล้าที่ยาวนานที่สะสมมาตลอดชีวิต ตั้งแต่ตอนยังเด็กจนถึงวันนี้ เราใช้เวลาไปกับการวิ่งไล่ตามสิ่งต่างๆ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ โดยไม่เคยหยุดคิดให้ดีว่าเราเหนื่อยไปทำไมและเราไปในทางไหน
ใจของเรามักจะขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกับรถที่ตีลังกาหรือแม้กระทั่งเหมือนการขี่จักรยานที่ไปในทางที่ไม่แน่นอน บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งก็ร้องไห้ สลับกันไป ไม่มีวันที่เราจะรู้สึกว่าชีวิตมันมีความสุขเพียงพออย่างแท้จริง หรือมีความทุกข์ที่ยาวนานจนไม่สามารถออกมาได้
หลายคนอาจจะรู้สึกเหนื่อยล้าแบบนี้มาตั้งแต่เด็กจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต หากเราไม่สามารถเข้าใจความลับของชีวิตและกระบวนการสร้างความสุขที่ยั่งยืนได้ ความรู้สึกวุ่นวายและเหนื่อยล้าก็จะยังคงอยู่ตลอดไป และถ้าเราไม่เข้าใจวิธีการที่จะจัดการกับชีวิตของตัวเองอย่างถูกต้อง ก็เหมือนกับการเดินทางไปยังดินแดนที่เราไม่เคยไป โดยที่ไม่มีแผนที่หรือเข็มทิศเลย ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน และทำตามสิ่งที่คนอื่นบอกเพียงแค่เพราะเห็นว่าเขาทำได้ แม้ว่าจะเห็นว่าเขาสะดุดล้มหลงทาง แต่เราก็ยังคงเดินตามไป ในที่สุด ชีวิตของเราอาจจะไม่สามารถไปถึงจุดที่เราตั้งใจเอาไว้ได้อย่างที่คิด เมื่อมองย้อนกลับไปจะมีสักกี่คนที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตามที่ได้ฝันไว้ตั้งแต่ต้น
การไม่เข้าใจตัวเองและชีวิต มักทำให้เราเดินทางผิดทางจนเหนื่อยล้าไปตลอดชีวิต ดังนั้นการเรียนรู้ที่จะเข้าใจและจัดการกับจิตใจตัวเองอย่างถูกต้อง จึงเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ชีวิตมีความหมายและมีความสุขที่ยั่งยืน
0 Comments