ขอยกตัวอย่างแนวคิดของผู้ที่เคยให้คำนิยามเกี่ยวกับการออกแบบ เช่น โกฟ (Gove, 1965:165) กล่าวว่า การออกแบบคือการจัดแต่งองค์ประกอบพื้นฐานในการสร้างงานศิลปกรรม เครื่องจักร หรือประดิษฐกรรมของมนุษย์
การออกแบบช่วยให้เราสามารถถ่ายทอดรูปแบบจากความคิดออกมาเป็นผลงานที่ผู้อื่นสามารถมองเห็น รับรู้ หรือสัมผัสได้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในผลงานร่วมกัน
ความสำคัญของการออกแบบ
- ในแง่ของการวางแผนการทำงาน: งานออกแบบช่วยให้กระบวนการทำงานเป็นไปตามขั้นตอนอย่างเหมาะสมและประหยัดเวลา ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าการออกแบบคือการวางแผนการทำงาน
- ในแง่ของการนำเสนอผลงาน: งานออกแบบช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าใจตรงกันอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงถือเป็นสื่อกลางในการสื่อสารเพื่อความเข้าใจระหว่างกัน
- เป็นเครื่องมืออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับงาน: งานบางประเภทมีรายละเอียดซับซ้อน งานออกแบบช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องและผู้พบเห็นเข้าใจได้ชัดเจนขึ้น หรือกล่าวได้ว่า ผลงานออกแบบเป็นตัวแทนความคิดของผู้ออกแบบ
- ความสำคัญในกรณีที่นักออกแบบกับผู้ผลิตเป็นคนละคนกัน: เช่น สถาปนิกกับช่างก่อสร้าง หรือ นักออกแบบกับผู้ผลิตในโรงงาน เปรียบเสมือนนักออกแบบเป็นผู้เขียนบทละคร และผู้ผลิตเป็นผู้แสดง
แบบ (Design) คืออะไร?
แบบเป็นผลงานจากการออกแบบที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์และฝีมือของนักออกแบบ มีหลายลักษณะ ได้แก่:
1.ภาพวาดลายเส้น (Drawing), ภาพระบายสี (Painting), ภาพถ่าย (Pictures), แบบร่าง (Sketch), และแบบรายละเอียด (Draft) เช่น แบบก่อสร้าง ภาพพิมพ์ ฯลฯ ซึ่งใช้แสดงรูปลักษณะของงาน 2 มิติ
2.แบบจำลอง (Model) หรือของจริง เป็นแบบที่ใช้แสดงรายละเอียดของงานได้ชัดเจนกว่าภาพ เนื่องจากเป็น 3 มิติ ทำให้เข้าใจผลงานได้ดีกว่า และบางประเภทสามารถใช้ทดลองหรือทดสอบการทำงานได้
ประเภทของการออกแบบ
1. การออกแบบทางสถาปัตยกรรม (Architecture Design)
เป็นการออกแบบเพื่อการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ โดยนักออกแบบสาขานี้เรียกว่า สถาปนิก (Architect) ซึ่งต้องทำงานร่วมกับวิศวกรและมัณฑนากร โดยรับผิดชอบด้านประโยชน์ใช้สอยและความสวยงามของสิ่งก่อสร้าง งานออกแบบทางสถาปัตยกรรมแบ่งออกเป็น:
- สถาปัตยกรรมทั่วไป: เช่น อาคาร บ้านเรือน ร้านค้า โบสถ์ วิหาร ฯลฯ
- สถาปัตยกรรมโครงสร้าง: การออกแบบเฉพาะโครงสร้างหลักของอาคาร
- สถาปัตยกรรมภายใน: ออกแบบส่วนประกอบภายในอาคาร
- งานออกแบบภูมิทัศน์: จัดบริเวณพื้นที่ต่าง ๆ ให้เหมาะสมและสวยงาม
- งานออกแบบผังเมือง: ออกแบบพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีองค์ประกอบซับซ้อน
2. การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design)
เป็นการออกแบบเพื่อผลิตสินค้าต่าง ๆ โดยนักออกแบบจะรับผิดชอบเรื่องประโยชน์ใช้สอยและความสวยงามของผลิตภัณฑ์ เช่น:
- ออกแบบเฟอร์นิเจอร์
- ออกแบบครุภัณฑ์
- ออกแบบเครื่องสุขภัณฑ์
- ออกแบบเครื่องใช้สอย
- ออกแบบเครื่องประดับ อัญมณี
- ออกแบบเครื่องแต่งกาย
- ออกแบบภาชนะบรรจุภัณฑ์
- ออกแบบเครื่องมือต่าง ๆ
3. การออกแบบทางวิศวกรรม (Engineering Design)
เป็นการออกแบบที่เกี่ยวข้องกับการผลิตที่ต้องใช้เทคโนโลยีสูง โดยนักออกแบบคือ วิศวกร (Engineer) ซึ่งรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยและกรรมวิธีการผลิต เช่น:
- ออกแบบเครื่องใช้ไฟฟ้า
- ออกแบบเครื่องยนต์
- ออกแบบเครื่องจักรกล
- ออกแบบเครื่องมือสื่อสาร
- ออกแบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
4. การออกแบบตกแต่ง (Decorative Design)
เป็นการออกแบบเพื่อความสวยงามและเพิ่มประโยชน์ใช้สอย นักออกแบบสาขานี้เรียกว่า มัณฑนากร (Decorator) โดยงานออกแบบประเภทนี้ ได้แก่:
- งานตกแต่งภายใน (Interior Design)
- งานตกแต่งภายนอก (Exterior Design)
- งานจัดสวนและบริเวณ (Landscape Design)
- งานตกแต่งมุมแสดงสินค้า (Display Design)
- การจัดนิทรรศการ (Exhibition Design)
- การตกแต่งบนผิวหน้าของสิ่งต่าง ๆ
5. การออกแบบสิ่งพิมพ์ (Graphic Design)
เป็นการออกแบบเพื่อผลิตงานสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือ หนังสือพิมพ์ โปสเตอร์ นามบัตร งานพิมพ์ลวดลายผ้า งานพิมพ์ภาพลงบนวัสดุต่าง ๆ งานออกแบบโลโก้และเครื่องหมายการค้า
การใช้โปรแกรมในการออกแบบ
การออกแบบในปัจจุบันมักต้องใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย เช่น Adobe Photoshop ซึ่งช่วยในด้านการออกแบบกราฟิก การตกแต่งภาพ และการสร้างสรรค์งานศิลปะในรูปแบบดิจิทัล
การออกแบบจึงมีบทบาทสำคัญในทุก ๆ ด้านของการผลิตและการก่อสร้าง ช่วยให้เกิดความชัดเจนในแนวคิด การสื่อสาร และการพัฒนาผลงานให้มีคุณภาพมากขึ้น
0 Comments